Thursday, September 28, 2017

ประเพณีแห่ปราสาทผึ้ง จังหวัดสกลนคร

           ประเพณีแห่ปราสาทผึ้ง จังหวัดสกลนคร


      ประวัติ / ความเป็นมา

          การแห่ปราสาทผึ้ง เป็นประเพณีสำคัญงานหนึ่งในฮีตเดือนสิบเอ็ด การแห่ปราสาทผึ้งนั้นเป็นการถวายแด่องค์พระธาตุเชิงชุม สำหรับตำนานของการทำปราสาทผึ้ง มาจากคติที่เชื่อว่าเป็นการทำบุญเพื่อให้ได้ไปเกิดในภพหน้า เช่น การไปเกิดในสวรรค์ก็จะมีปราสาทอันสวยงามแวดล้อมด้วยนางฟ้าเป็นบริวาร ถ้าเกิดใหม่ในโลกมนุษย์จะมีแต่ความมั่งมีศรีสุขแต่ปัจจุบันคนอีสานถือว่าประเพณีนี้เป็นการร่วมงานบุญบนความรื่นเริงอันยิ่งใหญ่ในรอบปี เนื่องจากเป็นช่วงที่ว่างจากงาน

และตามตำนานอีกเรื่องหนึ่งมีว่า ในสมัยพุทธกาลเมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จไปจำพรรษาเป็นปีที่ 7 บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ประทับที่บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ทรงแสดงอภิธรรมปฏิกรณ์แก่พุทธมารดา เป็นการตอบแทนพระคุณจนกระทั่งบรรลุถึงโสดาบัน ครั้นถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ซึ่งเป็นวัน “มหาปวารณาออกพรรษา พระพุทธเจ้ากำหนดเสด็จสู่เมืองมนุษย์ พระอินทร์จึงเนรมิตบันได 3 ชนิด คือ….

บันไดทองคำ     อยู่เบื้องขวา    สำหรับทวยเทพเทวดาลง

บันไดเงิน          อยู่เบื้องซ้าย    สำหรับพระพรหมลง
บันไดแก้วมณี   อยู่ตรงกลาง    เพื่อให้พระพุทธองค์เสด็จ
          เชิงบังไดทั้ง 3 นี้ ตั้งอยู่ที่ประตูเมืองสังกัสสนครในโลกมนุษย์ หัวบันไดอยู่ที่เขาสิเนคุราช บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ก่อนเสด็จลงพระพุทธเจ้าประทับยืนบนบอดเขาสิเนรุราช ทำ “โลกนิวรณ์ปาฏิหาริย์” โดยทรงแลดูเบื้องบนปรากฏมีเนินเป็นอันเดียวกันถึงพรหมโลก ทรงแลดูข้างล่างก็ปรากฏมีเนินเป็นอันเดียวกันถึงอเวจีนคร ทรงแลดูรอบทิศจักรวาลหลายแสน ก็ปรากฏเนินอันเดียวกัน (สวรรค์ มนุษย์ และนคร ต่างมองเห็นกัน) ซึ่งเรียกวันนี้ว่า “วันพระเจ้าเปิดโลก”
ครั้นแล้วพระพุทธองค์เสด็จลงทางบันไดแก้วมณี ท้าวมหาพรหมกั้นเศวตฉัตร บรรดาเทวดาลงบันไดทองคำทางช่องขวา มหาพรหมลงทางบันไดเงินเบื้องซ้าย มีมาตุลีเทพบุตรถือดอกไม้ของหอมติดตาม ครั้นเสด็จถึงประตูเมืองสังกัสสนครทรงประทับพระบาทเบื้องขวาลงก่อน นาค มนุษย์ และนรก ต่างชื่นชมปลื้มปิติในพระพุทธบารมี เกิดเลื่อมใสในบุญกุศลจนเกิดจินตนาการ เห็นปราสาทสวยงามใคร่จะไปอยู่ จึงรู้ชัดว่าการที่จะได้ไปอยู่ปราสาทอันสวยงามนั้นต้องสร้างบุญกุศล ประพฤติปฏิบัติอยู่ในหลักศีลธรรมอันดี ทำบุญตักบาตร สร้างปราสาทกองบุญนั้นในเมืองมนุษย์เสียก่อนจึงจะไปได้ จากนั้นเป็นต้นมาผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา จึงพากันคิดสร้างสรรค์ทำบุญปราสาทให้มีรูปร่างเหมือนวิมานบนสวรรค์ มีลวดลายวิจิตรสวยงามตามยุคตามสมัยสืบต่อมา บางแห่งก็ถือว่าสร้างปราสาทผึ้งสำหรับรับเสด็จพระพุทธเจ้าเมื่อเสด็จมายังโลกมนุษย์ไปสู่ที่ประทับ
เหตุที่มีการนำเอาขี้ผึ้งมาทำเป็นปราสาทนั้น สืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ในสมัยพุทธกาลเช่นเดียวกันซึ่งในหนังสือธรรมบทภาค 1 กล่าวว่าเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จไปจำพรรษาที่ดงไม้สาละใหญ่ ที่ป่ารักขิตวัน ใกล้บ้านปาลิไลยก์ในพรรษาที่ 9 โดยช้างปาลิไลยก์กับลิงเป็นผู้อุปัฏฐากไม่มีมนุษย์อยู่เลยตลอด 3 เดือน ช้างจัดน้ำและผลไม้มาถวาย ส่วนลิงหารวงผึ้งมาถวาย เมื่อพระองค์ทรงรับแล้วเสวยลิงเห็นก็ดีใจมากไปจับกิ่งไม้เขย่าด้วยความดีใจ บังเอิญกิ่งไม้หักลิงนั้นตกลงมาถูกตอเสียบอกตาย และได้ไปเกิดเป็นเทพบุตรบนปราสาทวิมานสูง 30 โยชน์ ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
          ครั้นถึงวันมหาปวารณาออกพรรษา พระพุทธเจ้าตรัสลาช้างแล้วเสด็จเข้าสู่เมืองโกสัมพี ต่อไปช้างคิดถึงพระพุทธเจ้ามากจนหัวใจแตกสลาย ไปเกิดบนปราสาทวิมานสูง 30 โยชน์ พระพุทธเจ้าทรงนึกถึงคุณความดีของช้างและลิง จึงทรงนำเอารวงผึ้งมาทำเป็นดอกประดับในโครงปราสาทตามจินตนาการเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ช้างและลิง
ในกาลต่อมา ชาวพุทธจึงได้ถือเป็นแนวทางจัดสร้างปราสาทผึ้ง เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาและสร้างกุศลสืบมา โดยถือเอาวันออกพรรษาเป็นวันประเพณีถวายปราสาทผึ้ง ปัจจุบันประเพณีถวายปราสาทผึ้งยังมีอยู่ในภาคอีสานหลายจังหวัด แต่จังหวัดที่มีการถวายปราสาทผึ้ง โดยจัดขบวนแห่อย่างยิ่งใหญ่ ได้แก่ จังหวัดสกลนคร การแห่ปราสาทผึ้งของชาวสกลนครนี้กล่าวกันว่ามีมาตั้งแต่ครั้งสมัย พระเจ้าสุวรรณภิงคารโปรดให้ข้าราชบริพารจัดทำ “ต้นเผิ่ง” (ต้นผึ้ง) ขึ้นในวันออกพรรษาแล้วแห่แหนไปยังวัดพระธาตุเชิงชุมเป็นพุทธบูชา ชาวสกลนครจึงยังคงสืบทอดปฏิบัติมาจนทุกวันนี้ ในงานนี้นอกจากจะมีการแห่ปราสาทผึ้งแล้วยังมีการแข่งเรือด้วย
ส่วนความเชื่อในการสร้างปราสาทผึ้งจากเรื่องไตรภูมิในพุทธศาสนา ซึ่งเป็นคำสอนที่มีปรากฏในคัมภีร์พุทธศาสนาที่ว่าด้วยการที่มนุษย์ต้องเวียนว่ายตายเกิดในโลกภูมิต่างๆ ที่มีวิมานปราสาทเป็นเรือนที่อยู่อาศัยอย่างสะดวกสบาย และยังมีกล่าวในคัมภีร์มาเลยยเทวัตเถรวัตถุที่ได้กล่าวถึงพระมาลัยอรหันต์ ซึ่งเป็นพุทธสาวกองค์หนึ่ง ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เคยไปเทศนาโปรดสัตว์ในนรกภูมิ และได้เสด็จขึ้นไปบนสวรรค์ เพื่อไหว้องค์พระโพธิสัตว์ศรีอาริยเมตไตรยที่จะเสด็จมาตรัสรู้เป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตกาล หลังจากนั้นพระมาลัยอรหันต์ได้เทศนาโปรดแก่พุทธศาสนิกชน เพื่อให้ทราบถึงวิธีการสร้างบุญกุศล เพื่อที่จะได้ไปเกิดบนสวรรค์ รวมทั้งการสร้างอาคารศาสนสถานถวายเป็นพุทธบูชานั้นเป็นหนทางหนึ่งที่เป็นอานิสงส์นำพาให้ได้ไปเกิดบนสวรรค์ มีวิมานเป็นที่อยู่อาศัย และมีเหล่านางฟ้าเป็นบริวาร
ความเชื่อเรื่องภูตผีวิญญาณ เป็นความเชื่อพื้นบ้านที่ทำให้ชาวอีสาน ถือเป็นปรัชญาคติที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสร้างปราสาทผึ้ง คือ ความเชื่อที่ว่าคนที่ตายไปแล้วดวงวิญญาณก็ยังต้องการสิ่งต่างๆ เช่นเดียวกับเมื่อครั้งที่ยังมีชีวิตอยู่เป็นคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการต้องการที่อยู่อาศัย ด้วยเหตุดังกล่าวทำให้มีการประกอบพิธีเซ่นสรวงดวงวิญญาณ ตลอดจนการสร้างเรือนจำลองในลักษณะของศาลหรือหอผี เพื่ออุทิศส่วนกุศล จากการสร้างปราสาทผึ้งแก่ดวงวิญญาณบรรพบุรุษ หรือจ้ากรรมนายเวรผู้ล่วงลับ
          นอกจากนี้ยังมีกล่าวไว้ในตำนานเรื่องหนองหาน (สกลนคร)ว่า ในสมัยขอมเรืองอำนาจและครองเมืองหนองหาน ในแผ่นดินพระเจ้าสุวรรณภิงคาร ได้โปรดให้ข้าราชบริพารทำต้นผึ้งหรือปราสาทผึ้งในวันออกพรรษา เพื่อแห่คบงันที่วัดเชิงชุม (วัดพระธาตุเชิงชุมวรมหาวิหาร) จากนั้นเมืองหนองหานได้จัดปราสาทผึ้งต่อกันมาทุกปี
ส่วนในสมัยรัตนโกสินทร์ มีพระนิพนธ์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เรื่องเที่ยวที่ต่างๆ ภาค 4 ว่าด้วยมณฑลนครราชสีมา มณฑลอุดร และมณฑลร้อยเอ็ด เมื่อ ร.ศ.125 (2449) มีความตอนหนึ่งกล่าวถึงการแห่ปราสาทผึ้งรอบองค์พระธาตุพนม เมืองนครพนมดังนี้
“เวลาบ่าย 4 โมง ราษฏร์แห่ปราสาทผึ้งและบ้องไฟ (บั้งไฟ) เป็นกระบวนใหญ่เข้าประตูชาลามหาเศรษฐี ด้านตะวันตก แห่ประทักษิณองค์พระธาตุสามรอบ กระบวนแห่นั้นคือ ผู้ชายและเด็กเดินข้างหน้าหมู่หนึ่ง แล้วมีพิณพาทย์ต่อไปถึงบุษบกมีเทียนขี้ผึ้งใหญ่ 4 เล่มในบุษบก แล้วมีรถบ้องไฟ (บั้งไฟ) ต่อมามีปราสาทผึ้ง คือ แต่งหยวกกล้วยเป็นรูปปราสาทแล้วมีดอกไม้ ทำขี้ผึ้งเป็นเครื่องประดับ มีพิณพาทย์ ฆ้องกลอง แวดล้อมแห่มา และมีชายหญิงเดินตามเป็นตอนๆ กันหลายหมู่ และมีกระจาดประดับประดา อย่างกระจาดผ้าป่าห้อยด้วยไส้เทียน และไหมเข็ด เมื่อกระบวนแห่ครบสามรอบแล้ว ได้นำปราสาทผึ้งไปตั้งถวายพระมหาธาตุ ราษฎร์ก็นั่งประชุมกันเป็นหมู่ๆ ในลานพระมหาธาตุคอยข้าพเจ้าจุดเทียนนมัสการ แล้วรับศีลด้วยกัน พระสงฆ์มีพระครูวิโรจน์รัตโนบลเป็นประธานเจริญพระพุทธมนต์ เวลาค่ำมีการเดินเทียนและจุดบ้องไฟ ดอกไม้พุ่ม และมีเทศน์กัณฑ์หนึ่ง”  จากพระนิพนธ์ดังกล่าวเห็นได้ว่า ประเพณีแห่ปราสาทผึ้งได้มีการถือปฏิบัติมาช้านานแล้ว และมีความเกี่ยวข้องกับความเชื่อทางศาสนาด้วย


  รูปทรงของปราสาทผึ้ง สามารถแบ่งตามลักษณะได้ 4 แบบ คือ ปราสาทผึ้งทรงพระธาตุ ทรงหอผี ทรงบุษบก และทรงจตุรมุข


1. ปราสาทผึ้งทรงพระธาตุ ลักษณะโดยรวมคลายกับพระสถูปเจดีย์ หรือพระธาตุที่ปรากฏในบริเวณภาคอีสาน และประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว คือ เป็นเจดีย์ทรงสี่เหลี่ยม หรือบางทีเรียกว่า เจดีย์ทรงดอกบัวเหลี่ยม เช่นพระธาตุพนม พระธาตุเชิงชุม พระธาตุศรีสองรัก พระธาตุบังพวน เป็นต้น ปราสาทผึ้งรูปทรงนี้จากหลักฐานภาพถ่ายจากกองจดหมายเหตุแห่งชาติ สันนิษฐานว่า น่าจะมีการกระทำอยู่ในช่วง พ.ศ.2449 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน

2. ปราสาทผึ้งทรงหอผี เป็นปราสาทผึ้งที่สร้างขึ้นเลียนแบบอาคารเรือนที่อยู่อาศัยแบบพื้นเมืองของชาวอีสาน แต่สร้างให้มีขนาดเล็กเป็นลักษณะของเรือนจำลอง ปราสาทผึ้งแบบทรงหอผีมีลักษณะเช่นเดียวกับศาลพระภูมิ ศาลมเหศักดิ์ หรือศาลปู่ตา ตามหมู่บ้านต่างๆ ในชนบท ซึ่งศาลต่างๆ เหล่านั้นมีลักษณะโดยรวมจำลองรูปแบบมาจากอาคารเรือนที่อยู่อาศัย การสร้างปราสาทผึ้งทรงหอผีได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เมื่อประมาณปี พ.ศ.2473 เป็นต้นมาถึงปัจจุบัน

3.  ปราสาทผึ้งทรงบุษบก เป็นปราสาทที่สร้างขึ้นจำลองจากบุษบก บุษบกเป็นเรือนเครื่องยอดขนาดเล็ก หลังคาทรงมณฑป ตัวเรือนโปร่ง มีฐานทึบ และเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ลักษณะคล้ายกับบุษบกธรรมาสน์ ชาวอีสานเรียกว่า หอธรรมาสน์ หรือ ธรรมาสน์เทศน์

4.  ปราสาทผึ้งทรงจตุรมุข เป็นปราสาทผึ้งที่จำลองแบบมาจากปราสาทราชมณเฑียรในพระบรมมหาราชวัง เป็นอาคารจำลองขนาดเล็กทรงจตุรมุข มีแผนผังเป็นรูปกากบาท มีสันหลังคาจั่ว ชั้นบนอยู่ในระดับเดียวกัน และออกมุขเสมอกันทั้งสี่ด้าน ที่หลังคามีจั่ว หรือหน้าบันประจำมุขด้านละจั่วหรือด้านละหนึ่งหน้าบัน ด้วยเหตุที่มีการออกมุขทั้งสี่ด้าน และประกอบด้วยหน้าบันสี่ด้าน จึงเรียกว่าทรงจตุรมุข ซึ่งเป็นอาคารที่มีเรือนยอดเป็นชั้นสูง เช่นเดียวกับอาคารประเภทบุษบก และมีการออกมุขทั้งสี่ด้านที่หลังคาทรงจั่ว
งานเริ่มจากวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 11 เรียกว่า วันโฮม หรือวันรวม เป็นการรวบรวมปราสาทผึ้งจากคุ้มวัดต่างๆ ที่บริเวณวัด แต่ละคุ้มจะประจำอยู่ซุ้มของตัวเองรอบๆ กำแพงวัด และพอถึงวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 มีการทำบุญตักบาตร เสร็จแล้วก็จะจัดขบวนแห่ปราสาทผึ้ง ในแต่ละขบวนแห่ด้วยเกวียน แต่ใช้คนลากแทนวัว แต่ละปราสาทผึ้งมีนางฟ้าหรือเทพีนั่งอยู่ตอนหน้าของเกวียน ตรงกลางเป็นปราสาทผึ้ง ขบวนแห่มีพิณ กลอง ฆ้อง ตามด้วยขบวนคนหนุ่มคนสาว และคนเฒ่าคนแก่ ถือ ธูปเทียน ประนมมือ แห่ครบ 3 รอบ ก็ถวายแก่ทางวัด
ปัจจุบันการทำปราสาทผึ้งและขบวนแห่เปลี่ยนแปลงไปมาก รูปทรงของปราสาทผึ้งและการประดับประดาวิจิตรพิสดาร มีการออกแบบลวดลายต่างๆ ไม่เหมือนในอดีต ขบวนแห่ที่เคยใช้เกวียนก็เปลี่ยนมาใช้รถยนต์แทน และเปลี่ยนสถานที่รวมขบวนจากบริเวณวัดเป็นสนาม ขบวนแห่ยาวเป็นกิโลเมตร มีสิ่งใหม่ๆ เพิ่มในขบวนแห่ปราสาทผึ้ง คือ การแสดงเกี่ยวกับประเพณีโบราณของชาวอีสาน เช่น รำมวยโบราณ ฟ้อนผู้ไท โส้ทั่งบั้ง บุญข้าวสาก บุญข้าวประดับดิน การตำข้าว การปรุงยาสมัยโบราณ การแข่งเรือ และการแสดงความเชื่อทางไสยศาสตร์ เช่น การไล่ผีปอบ การปลุกพระ ตลอดถึงการแสดงนรก สวรรค์
ประเพณีแห่ปราสาทผึ้งที่ถือปฏิบัติในวันออกพรรษามีอยู่สี่แห่ง ได้แก่ อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย อำเภอเมือง  จังหวัดนครพนม,  อำเภอเมือง  จังหวัดหนองคาย,  และอำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร




ประเพณีและพิธีโกนจุก

ประเพณีและพิธีโกนจุก



ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ประเพณีและพิธีโกนจุก


สำหรับคนไทย ที่มีอายุมากหน่อย อาจจะรู้จักประเพณี “การโกนจุก” เป็นอย่างดี เพราะเป็นประเพณีที่เก่าแก่ จัดกันมาแต่ครั้งโบร่ำโบราณ โดยเป็นประเพณีที่แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิต ความเป็นอยู่และวัฒนธรรมของคนไทยสมัยก่อน ประเพณีการโกนจุก จะมีการจัดขึ้นให้แก่ลูกหลาน เมื่อเด็กอายุครบ 7 ขวบ 9 ขวบ และ 11 ขวบ ตามโอกาส

สำหรับความเชื่อเกี่ยวกับประวัติของประเพณีนี้ ไม่ได้มีการบ่งบอกอย่างแน่ชัด แต่มีหลักฐาน คือบันทึกที่กล่าวถึงประเพณีนี้ มาแต่ครั้งอยุธยา โดยเชื่อว่าน่าจะมาจากความเชื่อเรื่องวิถีชีวิตของเด็กไทยสมัยก่อน ที่มีความนิยมไว้ผมทรงจุก (คือมัดผมไว้ตรงกลางศีรษะ แล้วโกนหัวเกรียนด้านข้าง) ผมทรงแกะ ( ไว้ผมยาวเป็นจุกสองจุก ส่วนอื่นโกนให้เกรียน) ซึ่งเมื่อถึงเวลาที่จะก้าวสู่วัยเด็กเป็นวัยรุ่น ต้องมีการโกนผมที่เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ ของวัยเด็กนั้นทิ้งไป ทำให้เกิดประเพณีการโกนจุกขึ้นมาก

อย่างไรก็ตาม บางความเชื่อยังกล่าวว่า เด็กสมัยก่อนเลี้ยงยาก ต้องมีการไว้ผมจุกหรือแกละเป็นการแก้เคล็ด และจำโกนทิ้งได้ก็ต่อเมื่อเด็กเติบโตเป็นวัยรุ่น หากไม่โกนทิ้งจะเกิดโรคภัยไข้เจ็บเช่นกัน

พิธีการโกนจุกนั้น จะเริ่มจากผู้ปกครองของเด็กที่จะโกนจุก ไปปรึกษาพระเพื่อหาฤกษ์ หายามสำหรับวันทำพิธี และทำการนิมนต์สำหรับวันงาน จากนั้นเมื่อได้วันมาแล้ว ก่อนวันทำพิธีจะมีการไปซื้อหาข้าวของ ตลอดจนอาหาร สำหรับการจัดเตรียมพิธี ที่จะมีการเลี้ยงแขกที่เข้าร่วมงานด้วย

เมื่อถึงวันโกนจุกตามฤกษ์ยามที่ได้หาไว้ จะมีการนำเอาเด็กที่จะโกนจุก ไปที่บ้านญาติ หรือออกห่างจากบ้านไป แล้วแต่งตัวให้สวยงาม จัดขบวนแห่อันประกอบไปด้วยกลองยาว มีการร้องรำทำเพลงตลอดการแห่ และเด็กจะมาพร้อมกับขบวนแห่ เพื่อมุ่งหน้ามาที่บ้าน เมื่อถึงบ้านแล้วจะมีการฟังพระสวดมนต์ รับศีลรับพร แล้วจะมีการทำบายศรีมาสู่ขวัญเด็ก หากเป็นงานใหญ่หน่อย จะมีการจัดมรหสพสมโภช ตามแต่ฐานะ แต่ถ้าเป็นครอบครัวธรรมดา จะมีการกินเลี้ยงกัน

วันต่อมาเป็นวันตัดจุก โดยจะมีการทำบัฯตักบาตรในตอนเช้า รับศีลรับพรจากพระ แล้วญาติพี่น้องจะมีการตัดจุก โดยเริ่มจากญาติผู้ใหญ่ เช่น ปู่ ย่า ตา ยาย และพ่อแม่ เมื่อโกนจุกเสร็จแล้ว จะเอามงคลมาสวมที่ศีรษะเด็ก แล้วจึงจะมีการผู้กข้อไม้ข้อมือรับขวัญ อาจมีการมอบเงินขวัญถุงให้กับเด็กด้วย ตามแต่ความสมัครใจของญาติๆ เป็นอันเสร็จพิธี

ปัจจุบันประเพณีการโกนจุกนั้น ค่อยๆ ห่างหายไปจากสังคมไทยแล้ว ด้วยเรื่องของวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป


ที่มาhttp://www.panya4u.com

ประเพณีหมั้นและแต่งงาน

ประเพณีหมั้นและแต่งงาน

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ประเพณีหมั้นและแต่งงาน


   หมั้น หมายถึง มอบสิ่งของให้ฝ่ายหญิงเป็นการผูกมัดว่าจะแต่งงานด้วยของที่มอบนั้นเรียก ของหมั้น มีแหวนหมั้น ทองหมั้น เป็นต้น
         แต่งงาน หมายถึง ทำการบ่าวสาวให้อยู่กินเป้นผัวเมียกัน
         การแต่งงาน เป็นประเพณีที่มีการทำพิธีให้ชายและหญิงได้อยู่กันเป็นสามีภรรยาอย่างถูกต้องตามจารีตประเพณี เมื่อชายและหญิงมีอายุที่พร้อมที่จะมีครอบครัวและมีความรักใคร่กันพร้อมที่จะดำเนินชีวิตร่วมกันจึงตกลงปลงใจที่จะเข้าสู่พิธีการแต่งงาน ซึ่งพิธีการแต่งงานนั้นจะเริ่มจากการทาบทาม สู่ขอ หมั้นและแต่งงาน มีการประกอบพิธีทางศาสนา และจะต้องจดทะเบียนสมรส ให้ถูกต้องตามกฎหมายด้วย
         การแต่งงานจะกระทำได้ต่อเมื่อชายและหญิงมีอายุครบ 17 ปีบริบูรณ์ และโดยความยินยอมของบิดา มารดา ทั้งสองฝ่าย
         การทาบทามและการสู่ขอ ฝ่ายชายจะให้ผู้ใหญ่ที่ตนเคารพนับถือ เรียกว่า เฒ่าแก่ ทำหน้าที่ไปทาบทามสู่ขอต่อผู้ใหญ่ฝ่ายหญิง และเพื่อถามความสมัครใจของฝ่ายหญิง เมื่อตกลงกันได้เรียบร้อยแล้ว ก็จะต้องไปหาฤกษ์ยามเพื่อกำหนดวันที่ดีและเหมาะสมที่จะจัดงาน หากต้องการหมั้นก่อนก็จะต้องหาฤกษ์หมั้นด้วย
         การหมั้นจะมีการแห่ขันหมาก ซึ่งเป็นการนำสินสอดทองหมั้น หมากพลู ในขบวนขันหมากจะมีของเป็นมงคล ถั่ว งา ข้าวเปลือก ใบเงิน ใบทอง เป็นต้นและมีอาหารเช่น ไก่ หมู ส่วนขนมใช้ขนมกง ขนมสามเกลอ ขนมทองเอก ผลไม้ใช้ส้มโอ กล้วยทั้งหวี มะพร้าวอ่อน เป็นต้น
         เมื่อขบวนขันหมากมาถึง ทางฝ่ายเจ้าสาวจะมีการกั้นประตูเงินประตูทองเป็นประเพณี และทางด้านฝ่ายชายจะต้องเตรียมเงินใส่ซองไว้เพื่อเป็นการเปิดทางผ่านไปหาเจ้าสาว เมื่อเจ้าบ่าวมาถึงและเจ้าสาวพร้อมแล้วก็มีการประกอบพิธีทางศาสนา
         พิธีหลั่งน้ำพระพุทธมนต์ เจ้าบ่าวจะนั่งซ้าย เจ้าสาวจะนั่งขวา มีการสวมมงคลคล้องระหว่างเจ้าบ่าวกับเจ้าสาว แขกที่ได้รับเชิญจะพากันมาอวยพรและหลั่งน้ำสังข์ซึ่งน้ำที่ใช้หลั่งเป็นน้ำพระพุทธมนต์
         พิธีรับไหว้ เป็นการไหว้ผู้ใหญ่ ซึ่งพิธีรับไหว้จะเรียงตามลำดับอาวุโส โดยที่คู่บ่าวสาวจะกราบลงที่หมอน 1 ครั้ง และส่งพานดอกไม้ ธูปเทียนให้ผู้รับไหว้ และผู้รับไหว้จะกล่าวให้ศีลให้พร แล้วส่งเงินรับไหว้ลงพาน หยิบด้ายสายสิญจน์ผูกข้อมือให้เจ้าบ่าวและเจ้าสาว
         ก่อนที่จะมีพิธีส่งตัวจะมีพิธีปูที่นอนโดยผู้ที่ทำพิธีนี้จะต้องเป็นผู้ใหญ่ที่มีชีวิตครอบครัวที่มีความสุข โดยมีการนำฝักเขียว 1 ผล น้ำ 1 หม้อ พานถั่วงาและหินบดยาวางไว้ข้างที่นอน ซึ่งมีความหมายตามความเชื่อว่า ให้คู่บ่าวสาวอยู่ด้วยกันด้วยความร่มเย็นเป็นสุขเหมือนฝัก มีจิตใจใสสะอาดเช่นน้ำ มีความเจริญงอกงามเหมือนถั่วเหมือนงาและมีจิตใจที่มั่นคงและหนักแน่นเหมือนดังศิลา และผู้ที่ทำพิธีนั้นจะต้องนอนก่อนพอเป็นพิธีและหลังจากนั้นก็จะเป็นการให้ศีลให้พรแก่คู่บ่าวสาว ในการส่งตัวเจ้าบ่าว เจ้าสาวนั้น อาจจะตรงกับ วันแต่งงานหรือหลังแต่งงานก็ได้โดย บิดา มารดา ทั้งสองฝ่ายจะอบรมแนะนำสั่งสอนชีวิตการครองเรือน เมื่อให้โอวาทเสร็จคู่บ่าวสาวกราบเท้าบิดา มารดาทั้งสองฝ่าย และส่งมอบเจ้าสาวให้เจ้าบ่าวเป็นอันเสร็จพิธี

ที่มาhttp://www.9ddn.com

ประเพณีทำบุญกลางบ้าน

ประเพณีทำบุญกลางบ้าน


ประเพณีทำบุญกลางบ้าน



ลักษณะความเชื่อ
          เป็นการทำบุญตลอดจนบูชาและอุทิศส่วนกุศลให้พระภูมิเจ้าที่ เจ้ากรรมนายเวร เพื่อขอความคุ้มครองให้อยู่เย็นเป็นสุขและประสบความเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่ การงาน ขับไล่สิ่งเลวร้ายต่าง ๆ ที่ผ่านมาให้หมดสิ้นไปด้วยการสะเดาะเคราะห์ และขอให้ฝนตกตามฤดูกาล อันจะทำให้พืชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์

ความสำคัญ
          สร้างความสามัคคีของคนในหมู่บ้าน ให้มีความรักสามัคคี ไต่ถามทุกข์สุขซึ่งกันและกัน มีปัญหาช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

พิธีกรรม
          กระทำพิธีประมาณกลางเดือน ๓ โดยให้ผู้เฒ่าผู้แก่ หรือชาวบ้านกำหนดวันทำบุญโดยถือเอาวันสะดวกและวันว่าง ใช้สถานที่ที่เป็นที่ว่างกลางหมู่บ้าน พิธีกรรมจะเริ่มเมื่อสวดมนต์เย็นในบริเวณพิธี พระสงฆ์ประมาณ ๙ รูป หรือมากกว่าจะมาสวดมนต์เย็น หลังจากนั้นจะมีการละเล่นในหมู่บ้านและตอนเช้าวันรุ่งขื้นมีการสวดมนต์ทำบุญ เลี้ยงพระ ชาวบ้านจะนำอาหารมาถวายพระและจะแบ่งอาหารใส่กระทงใบตอง วางลงบนกระทงกาบกล้วยรูปสี่เหลี่ยม และใช้กาบกล้วยตัดเป็นรูปคน หรือใช้ดินเหนียวปั้นวางลงในกระทงจุดธูปดอกเดียวปักลงในกระทง และนำไปวางไว้ที่ทิศตะวันตก 


          เมื่อพระฉันอาหารเสร็จเรียบร้อยจะนำน้ำมารูปละ ๑ แก้ว ยืนเป็นวงกลมแล้วสวดมนต์กรวดน้ำราดลงไปในกระทง บางแห่งอุทิศให้คนอยู่บางแห่งอุทิศให้คนตาย เสร็จแล้วจะนำกระทงไปวางทิ้งบริเวณพื้นที่ทางสามแพร่ง หลังจากเสร็จพิธีชาวบ้านจึงร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน ไต่ถามความเป็นอยู่ตลอดจนแก้ปัญหาต่าง ๆ ร่วมกัน หรืออาจจะมีการละเล่นต่าง ๆ ก็ได้


มาที่http://guru.sanook.com


ประเพณีบายศรีสู่ขวัญ

ประเพณีบายศรีสู่ขวัญ

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ประเพณีบายศรีสู่ขวัญ


สำหรับชาวเหนือและชาวอีสานนั้น น่าจะคุ้นเคยกับประเพณี “บายศรีสู่ขวัญ” ที่มักจะมีการจัดขึ้น ในโอกาสอันเป็นมงคลต่างๆ เช่น การแต่งงาน งานบวช หรืองานพิธีกรรมขึ้นบ้านใหม่ เป็นต้น ซึ่งการจัดพิธีบายศรีสู่ขวัญ นั้นจะเป็นการทำเพื่อเป็นการชื่นชมยินดี การปลอบใจ นอกจากนั้นแล้ว ในบางโอกาส ยังมักจะจัดพิธีนี้ เพื่อขอพร เรียกขวัญให้กลับมาสู่ผู้เป็นต้นเหตุ หรือเจ้าภาพ แห่งพิธีนั้นอีกด้วย

สำหรับประวัติของพิธีบายศรีสู่ขวัญนั้น ไม่ได้มีการบันทึกไว้อย่างแน่ชัด แต่เชื่อกันว่าน่าจะมาจากทางความเชื่อของคติพราหมณ์ โดยจะเป็นการจำลองบายศรีให้คล้ายกับยอดเขาพระสุเมรุ ที่เป็นที่ประดิษฐาน หรือเป็นเสาหลักของโลก และเป็นจุดกึ่งกลางของจักรวาล การทำบายศรีจะจัดทำพร้อมใส่เครื่องสังเวยให้แก่เทพยดา ที่เป็นความเชื่อทางพราหมณ์ ไม่ว่าจะเป็น ไข่ แตงกวา มะพร้าว ดังนั้นการทำพิธีบายศรีสู่ขวัญ จะมีการจัดทำพิธีโดยพราหมณ์ ไม่ใช่พระสงฆ์ เหมือนกับพิธี หรือประเพณีอื่นๆ

การบายศรีสู่ขวัญจะมีส่วนประกอบที่สำคัญ สองอย่างคือ

– พานบายศรี เป็นลักษณะของการ จัดใบตอง หรือดอกไม้เป็นพุ่ม ชั้นๆ ลดหลั่นกันไป  ประดับประดาให้สวยงาม โดยมีความเชื่อว่าเป็นตัวแทนของเขาพระสุเมรุ ดอกไม้ใบตองที่จัดแล้ว จะถูกวางบนพานเงิน หรือพานทอง มีการโยงด้วยด้ายสายสิญญ์  ด้านล่างสุดของพาน จะมีการจัดใส่เครื่องสังเวยที่ประกอบด้วย ไข่ต้ม กล้วยอ้อย ฯลฯ

– ด้ายผูกแขน เป็นส่วนที่ใช้สำหรับการทำพิธี โดยพรามหณ์ จะใช้ด้ายผูกแขน ในการเรียกขวัญ หรือการอวยพร การแสดงความยินดีให้กับผู้เป็นเจ้าภาพของงาน เช่น ถ้าเป็นงานแต่ง จะใช้ด้ายในการอวยพร ให้กับบ่าวสาว โดยพราหมณ์และญาติผู้ใหญ่ จะผูกด้ายเข้ากับข้อมือ และให้ศีลให้พรระหว่างการผูกข้อมือ

การทำพิธีสู่ขวัญ จะเริ่มจากการเชิญพราหมณ์ หรือหมอขวัญ ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับความเคารพนับถือจากคนในท้องที่ หมอขวัญจะทำการนุ่มขาวห่มขาว แล้วเมื่อถึงเวลาเริ่มพิธี หมอขวัญก็จะเริ่มสวดมนต์ สำหรับเทวดา บูชาเทพทางคติของพราหมณ์เป็นภาษาบาลี เพื่อเรียกขวัญ หรือเป็นการอวยพรแก่เจ้าภาพ ตามแต่ลักษณะของพิธีนั้นๆ  จากนั้นจึงจะมีการเอาด้ายที่เตรียมไว้ มาผูกข้อไม้ข้อมือของผู้เป็นเจ้าภาพ และจะมีการอำนวยพรนั้น ให้แก่พวกเขา จากนั้นจึงจะถึงคราวของญาติพี่น้องเจ้าภาพ ในการเข้ามาผูกแขน เพื่ออำนวยพรเช่นกัน

การทำพิธีบายศรีสู่ขวัญนั้น มักจะมีการจัดเลี้ยงอาหารแก่ผู้เข้าร่วมพิธีด้วย โดยถือเป็นการพบปะสังสรรค์ของเหล่าญาติพี่น้อง และคนในท้องที่ด้วย


ที่มาhttp://www.panya4u.com

ประเพณีแห่ปลาของชาวพระประแดง

                           ประเพณีแห่ปลาของชาวพระประแดง







ชื่อประเพณีแห่ปลาของชาวพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ 

                            ช่วงเวลา  คือ หลังจากงานสงกรานต์ ๑๓ เมษายน ไปแล้วประมาณ ๑ สัปดาห์
             ความสำคัญ
          ประเพณีแห่ปลาไม่ว่าชาวไทยหรือชาวต่างประเทศรู้จักประเพณีนี้และไปชมกันปีละไม่ต่ำกว่าห้าหมื่นคนความเป็นมาของประเพณีนี้ก็สืบเนื่องมาจากตำนานของมอญที่เล่าต่อๆ กันมาว่า มีพระอาจารย์องค์หนึ่งมีลูกศิษย์อยู่หลายคน พระอาจารย์องค์นี้มีความเชี่ยวชาญในการทำนายโชคชะตาเป็นยิ่ง วันหนึ่งพระอาจารย์ได้ตรวจดูดวงชะตาของลูกศิษย์คนหนึ่งซึ่งบวชเป็นสามเณรอยู่ ปรากฏว่าสามเณรองค์นั้นอยู่ในเกณฑ์ชะตาขาด จะต้องถึงแก่ความตายในไม่ช้า พระอาจารย์มีความสงสารเป็นอย่างยิ่ง แต่ไม่อาจจะช่วยเหลือได้ จึงบอกให้สามเณรกลับไปเยี่ยมญาติโยมที่บ้านเพื่อที่จะได้มีโอกาสพบปะกันก่อนตาย สามเณรเข้าอำลาพระอาจารย์แล้วเดินทางกลับไปบ้าน ระหว่างทางเดินผ่านไปตามทุ่งนาจนถึงหนองน้ำแห่งหนึ่งน้ำแห้งขอด มีปลาตกปลักจมอยู่ในโคลนรังแต่จะรอความตาย สามเณรเกิดความสงสารจึงได้จับปลาไปปล่อยในลำคลองแล้วเดินทางต่อไปจนถึงบ้าน เมื่อสมควรแก่เวลาแล้วก็เดินทางกลับวัด ฝ่าย พระอาจารย์เมื่อเห็นสามเณรกลับมาก็แปลกใจเพราะยังเชื่อมั่นในความสามารถของตนเองอยู่จึงสอบถามจนได้ความว่าขณะที่เดินทางกลับบ้านนั้นได้ช่วยเหลือปลาที่รอความตายให้กลับมีชีวิตยืนยาวต่อไป พระอาจารย์จึงเข้าใจว่ากุศลที่สามเณรสร้างในครั้งนี้กลับเป็นผลานิสงส์หนุนนำให้สามเณรมีชีวิตยืนยาวต่อไป จากตำนานดังกล่าวทำให้ชาวรามัญยึดถือเป็นตัวอย่างและปฏิบัติกันอยู่เสมอมา ส่วนประเพณีแห่นกที่ทำควบคู่กับแห่ปลาในปัจจุบันนั้นเกิดขึ้นทีหลัง



   ขอกล่าวย้อนถึงสาเหตุที่จะกลายมาเป็นประเพณีแห่ปลาว่าเมื่อประมาณ ๕๐ ปีล่วงแล้วคุณย่าพ่วง พงษ์เวช ชาวมอญตำบลทรงคะนอง อำเภอพระประแดง เป็นผู้ที่ชอบทำบุญทำกุศลอย่างมาก ท่านจึงได้บอกให้ อาจารย์คล้าย พงษ์เวช ซึ่งเป็นบุตรชายให้จัดงานทำบุญเลี้ยงพระแล้วปล่อยปลาจำนวนมากๆ ท่านอาจารย์คล้าย พงษ์เวช จึงได้จัดให้ตามความประสงค์ทุกประการ แต่วิวัฒนาการจากการปล่อยปลาตามปกติมาเป็นการเชิญสาวๆในหมู่บ้านมาเข้าขบวนถือโหลปลา นำด้วยดุริยางค์แล้วนำไปปล่อยที่วัดทรงธรรมวรวิหาร ในปีรุ่งขึ้นท่านอาจารย์คล้าย พงษ์เวช เห็นว่าน่าจะกระทำเช่นนี้อีกต่อไป จึงได้เป็นเจ้าภาพจัดงานขึ้น โดยใช้โรงเรียนอำนวยวิทย์ อำเภอพระประแดง ซึ่งท่านเป็นเจ้าของอยู่เป็นสถานที่จัดงานและได้เชิญสาวๆจากหมู่บ้านต่างๆ (หมู่บ้านมอญ) รวม ๑๔ หมู่บ้าน มาร่วมในขบวนแห่ และในปีต่อมาท่านได้เชิญสาวมอญจากบางกระดี่ ตำบลแสมดำ อำเภอบางขุนเทียน จากบางขันหมาก จังหวัดลพบุรี จากปากเกล็ด จังหวัดนนทบุรี มาร่วมขบวนด้วย นับว่าเป็นการจัดงานที่ยิ่งใหญ่และตระการตา เนื่องจากสาวมอญแต่ละแห่งนั้นแต่งกายตามประเพณีในท้องถิ่นของตน ทำให้เกิดความหลากหลายมากยิ่งขึ้น และปิดท้ายขบวนด้วยกลองยาวที่สร้างความครึกครื้นอยู่ตลอดเวลา ส่วนการแห่นกนั้นท่านอาจารย์ได้ผนวกเข้าทีหลังจนกลายเป็นประเพณีแห่นกแห่ปลาในที่สุด พ.ศ. ๒๔๙๘ รูปขบวนก็ได้เปลี่ยนไปอีก กล่าวคือมีขบวนนางสงกรานต์เพิ่มขึ้น ส่วนนางสงกรานต์นั้น ไม่มีการประกวด เพียงแต่เสาะหาสาวที่มีความงามที่สุดมาเป็นนางสงกรานต์ จนกระทั่ง พ.ศ. ๒๕๐๖ ท่านอาจารย์คล้าย พงษ์เวช ย่างเข้าสู่วัยชราจึงต้องการพักผ่อน แต่ทางราชการเห็นว่าประเพณีนี้เป็นประเพณีที่ดี สมควรจะอนุรักษ์ไว้จึงได้รับการปฏิบัติกันต่อๆ มา ครั้นถึง พ.ศ. ๒๕๒๑ ได้มีการประกวดนางสงกรานต์พระประแดงขึ้นและต่อๆมาจนถึงปัจจุบัน

          สาระ
       ขบวนแห่ปลา แห่นกในปัจจุบันได้รับความร่วมมือจากตำบลต่างๆ ในอำเภอพระประแดง จึงทำให้รูปขบวนวิวัฒนาการขึ้นตามลำดับ มีสาวงามจำนวนมากขึ้น มีขบวนรถจากตำบลต่างๆ ตกแต่งอย่างสวยงามขั้นขบวนสาวงามอยู่เป็นระยะๆ มีวงดุริยางค์ของโรงเรียนต่างๆ นำแต่ละขบวนเป็นที่ครึกครื้นแล้วปิดท้ายด้วยขบวนกลองยาวอย่างเคย


ที่มาhttp://www.stou.ac.th

ประเพณียกขันหมากพระปฐม

ประเพณียกขันหมากพระปฐม






ความสำคัญ
    การยกขันหมากพระปฐมเป็นประเพณีโดยอาศัยเค้าและแบบอย่างมาจากพระพุทธประวัติ กล่าวคือ ยึดเอาตอนอาวาทมงคลของพระเจ้าสุทโธทนะและพระนางสิริมหามายาเป็นแบบ จะสมมติคู่บ่าวสาว 1 คู่ เจ้าบ่าวแทนพระเจ้าสุทโธทนะและเจ้าสาวแทนพระนางสิริมหามายา และสมมุติให้ผู้สูงอายุเป็นญาติของแต่ละฝ่ายด้วย
    การจัดประเพณีนี้จัดได้ทุกฤดูกาล แต่ส่วนใหญ่จะยกเว้นในช่วงเข้าพรรษา 3 เดือน เพราะเป็นช่วงเข้าพรรษา พระสงฆ์ที่อยู่ห่างไกลจะลำบากในการเดินทางและเป็นการขัดต่อสมณบัญญัติ การจัดงานก็ไม่สะดวกเพราะเป็นช่วงหน้าฝน ระยะนี้ชาวนาต้องทำนาด้วย

ขั้นตอนในการจัดพิธี
    ๑. เริ่มต้นด้วยทางวัดจัดเตรียมสถานที่และองค์ประกอบในการจัดงานต่าง ๆ
    ๒. ส่วนชาวบ้านจัดพาเจ้าบ่าวและเจ้าสาว จะเลือกคนโสด ชายจริงหญิงแท้ โดยเจ้าบ่าวและเจ้าสาวจะอยู่ต่างตำบล หรือต่างอำเภอ หรือหากคนล่ะจังหวัดก็ยิ่งดี ทั้งนี้เพราะจะได้ชักชวนพี่น้องเพื่อนฝูงจากต่างถิ่นมาร่วมงานมาก ๆ
        เมื่อถึงกำหนดวันงาน ฝ่ายเจ้าบ่าวและเจ้าสาวจะยกขันหมากตามประเพณีแต่งงานมาที่วัด เจ้าบ่าว เจ้าสาว และผู้สูงอายุซึ่งเป็นพระพุทธบิดาและพุทธมารดาสมมตินั้นแต่งกายอย่างกษัตริย์ทุกประการ สำหรับเครื่องแต่งกายยืมจากคณะลิเก ส่วนการแต่งการของบ่าวสาวมิได้เคร่งครัดตามพระพุทธประวัติ มักจะแต่งกายตามความสะดวกมากกว่า
        การทำพิธีไม่นิยมทำในโบสถ์เพราะแคบ นิยมจัดกันในศาลาโรงธรรม หลังจากนั้นพราหมณ์ก็เริ่มประกอบพิธี แต่ระยะหลังพราหมณ์ในเมืองนครมีน้อย ดังนั้นในบางครั้งจึงมอบให้ผู้เฒ่าผู้แก่ประกอบพิธีแต่งงานแทน


ที่มาhttps://sites.google.com