ประเพณีลากพระ
![]() |
ภาพผู้คนทั้งชายหญิงที่ร่วมกันชักลากรถไปตามถนนหนทางต่างๆ หรือเรือที่มีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่บนบุษบกอันงดงามมีเรือพายลากจูงไปตามลำน้ำ แห่แหนพร้อมขบวนแห่ ในเช้าตรู่ของวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ตามความศรัทธาของพุทธศาสนิกชน พิธีกรรมนี้เป็นที่รู้จักในชื่อ ประเพณีชักพระ ที่สืบทอดกันมาจนถึงทุกวันนี้
หลังจากวันปวารณาหรือวันออกพรรษา ๑ วัน ซึ่งจะตรงกับวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ชาวพุทธจะพร้อมใจกันอาราธนาพระพุทธรูปที่เคารพสักการะในชุมชนออกแห่ไปตามลำน้ำหรือถนนเพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้มีโอกาสกราบสักการะพระพุทธรูปนั้น ส่วนจะแห่ทางน้ำหรือทางบกนั้น ขึ้นอยู่กับว่าชุมชนนั้นสะดวกเส้นทางใด หากเป็นทางถนนก็จะใช้ผู้คนในชุมชนมาช่วยกันลากจูง หากเป็นทางน้ำก็จะใช้เรือพายพายลากจูงแทน
โดยก่อนถึงวันประเพณี วัดและชุมชนจะมีการจัดเตรียมงานล่วงหน้า เช่น การเตรียมหุ้มโพน (เข้าใจว่าเป็นเครื่องตีให้อาณัติสัญญาณชนิดหนึ่ง) เพื่อใช้ตีประโคมแข่งขันกันในวันงาน หากโพนของชุมชนไหนเสียงดีกว่าก็จะเป็นผู้ชนะ
![]() |
มีการจัดแต่งขบวนแห่ บุษบกที่ใช้ประดิษฐานพระพุทธรูปอย่างวิจิตรงดงาม หากเป็นการแห่ทางน้ำ ชุมชนก็จะมีการคัดเลือกฝีพาย ซ้อมพายเรือแข่ง และเตรียม “แทงต้ม” หรือขนมต้ม สำหรับแขวนเรือพระ
ส่วนในวันงานประเพณี ขบวนชักพระจะออกแห่กันแต่เช้าตรู่ โดยจะมีพระภิกษุนั่งประจำขบวนแห่ไปด้วย พร้อมเครื่องดนตรีที่ประโคมไปตลอดเส้นทาง ระหว่างทางที่ชักลากก็จะมีการถวายต้มบูชา หรือการซัดต้ม หรือการโยนขนมต้นไปที่องค์พระ ตามประเพณีในพุทธประวัติที่ปฏิบัติกันมา
นอกจากนี้ยังมีการกิจกรรมเพื่อความสนุกสนานอื่นๆ เช่น การจัดแข่งขันเรือพาย การเล่นเพลงเรือตอบโต้กันระหว่างชายหญิง การประกวดเรือสวยงาม การแข่งขันตีโพนประเภทตีดัง ตีทน ตีท่าพลิกแพลง ลีลาสวยงาม
ประเพณีชักพระนั้นเชื่อกันว่าเริ่มเข้ามาจากทางภาคใต้ของเราซึ่งได้รับอิทธิพลความเชื่อมาจากพราหมณ์ในอินเดีย ที่นิยมแต่งขบวนแห่รูปเคารพเทพเจ้าต่างในโอกาสต่างๆ โดยปรับเปลี่ยนเป็นการแห่แหนพระพุทธรูปโดยอิงจากเรื่องราวในพุทธประวัติตอนหนึ่ง ที่ว่า หลังจากองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกระทำยมกปากิหาริย์ปราบเดียรถีย์ ที่ป่ามะม่วง กรุงสาวัตถี แล้วเสด็จขึ้นไปจำพรรษาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เพื่อเทศนาโปรดพุทธมารดา จนกระทั่ง วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของพรรษา องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จกลับยังโลกมนุษย์ ในวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ซึ่งเป็นวันออกพรรษา
พุทธศาสนิกชนที่ทราบข่าวการเสด็จกลับลงมายังโลกขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่างก็มารอรับเสด็จ พร้อมเตรียมภัตตาหารมาถวาย แต่เนื่องจากมีประชาชนไปรอรับเสด็จเป็นจำนวนมาก ทำให้เข้าถวายอาหารไม่ถึงพระองค์ จึงห่ออาหารที่จะถวายด้วยใบไม้แล้วโยนเข้าไปถวาย จึงเป็นที่มาของประเพณี “ห่อต้ม” “ห่อปัด” และอาราธนาองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับบนบุษบกแล้วแห่แหนไปยังที่ประทับของพระองค์ เมื่อทรงดับขันธ์ปรินิพานแล้ว ชาวพุทธจึงนำเอาพระพุทธรูปตัวแทนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นบนบุษบก แล้วร่วมแรงร่วมใจกันชักลาก เกิดเป็นประเพณีชักพระ โดยถือเอาวันแรม ๑๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ของทุกปีเป็นวันประเพณีชักพระ
ที่มาhttp://ประเพณี.net
No comments:
Post a Comment